ปัจจุบันการจะประกอบอาหารรับประทานเองในครอบครัวนั้น ถูกจำกัดด้วยสภาพที่พักอาศัยหลายประการโดยเฉพาะคนกรุงเทพฯที่ต้องอาศัยอยู่ในคอนโด อพาร์ทเม้นท์ หรือหอพัก ยิ่งเป็นการทำให้มีข้อจำกัดในการทำอาหารรับประทานเองในที่พักอาศัยมากยิ่งขึ้น เพราะที่พักอาศัยบางแห่งก็มีกฎข้อห้ามไม่ให้ใช้เตาแก๊สในการประกอบอาหาร ด้วยเหตุนี้ “เตาไฟฟ้า” จึงกลายมาเป็นตัวเลือกใหม่สำหรับผู้ที่รักการประกอบอาหารทานเองทุกๆครัวเรือน ซึ่งการจะเลือกซื้อเตาไฟฟ้ามาเพื่อใช้ประกอบอาหารซักเตาหนึ่งนั้น เราย่อมต้องการเตาที่ดีมีคุณภาพ เหมาะกับการใช้งานมากที่สุด ซึ่งนอกจากเราจะต้องรู้จักและเข้าใจการทำงานของเตาไฟฟ้าแบบต่างๆแล้ว เรายังต้องคำนึงถึงหลายๆสิ่งประกอบกันในการเลือกซื้อเตาไฟฟ้าอีกด้วย

ประเภทของเตาไฟฟ้า

ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่าเตาไฟฟ้าที่มีวางขายในปัจจุบันตามท้องตลาดมีทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ แบบHot Plate แบบ Ceramic และแบบ Induction ซึ่งมีลักษณะดังนี้

  1. เตาไฟฟ้าเพลทร้อน (Hot Plate) เตาไฟฟ้าแบบนี้เป็นเตาไฟฟ้ายอดนิยมที่หลายๆคนเลือกใช้ เนื่องจากมีราคาไม่แพงมากเกินไป มีทั้งแบบลอยตัวและแบบบิ้วท์อิน เตาไฟฟ้าประเภทนี้จะมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายเตาแก๊ส แต่ส่วนบนจะมีลักษณะเป็นแผ่นสีดำ ด้านใต้แผ่นสีดำจะมีขดลวดทำความร้อนอยู่ เตาไฟฟ้าประเภทนี้มีการปรับความร้อนขึ้นลงค่อนข้างช้า เพราะความร้อนต้องส่งผ่านหลายชั้นตั้งแต่ขดลวด แผ่นเพลต ภาชนะหุงต้ม แล้วจึงไปถึงอาหาร อีกทั้งยังมีอันตรายในการใช้งาน หากเผลอเปิดเตาทิ้งไว้นานเกินไป อาจจะเกิดอันตรายเมื่อเราไปสัมผัส หรือเกิดอัคคีภัยได้
  1. เตาไฟฟ้า (Ceramic hob) เตาไฟฟ้าประเภทนี้จะมีหน้าเตาเป็นกระจก Ceramic ซึ่งเซรามิคมีคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี(ประมาณ 600 C) และยังรับแรงกระแทกได้ค่อนข้างมาก เตาแบบ ceramic hob นี้จะมีส่วนที่ราคาสูงก็คือกระจกเซรามิค ส่วนตัวทำความร้อนด้านในก็เป็นขดลวดไฟฟ้า หลอดอินฟาเรดหรือหลอดฮาโลเจน ซึ่งไม่ว่าเป็นตัวใดก็มีคุณสมบัติทำความร้อนคล้ายๆกัน แต่อาจมีข้อแตกต่างที่ประสิทธิภาพความร้อนเล็กน้อยส่วนเรื่องการใช้งาน เตา Ceramic จะมีความคล้ายเตาไฟฟ้าแบบ hot plate ต่างกันเพียงแค่เรื่องความสวยงาม หน้าตาภายนอกดูผ่านๆจะเหมือนกับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า(induction) เพราะกระจกเป็นชนิดเดียวกัน ซึ่งมีข้อสังเกตคือขณะใช้งานเตาไฟฟ้า ceramic hob จะมีสีแดงขึ้นในบริเวณที่มีความร้อน แต่เตาแม่เหล็กไฟฟ้าจะไม่มีสีแดงเกิดขึ้น และเตาแม่เหล็กไฟฟ้าจะต้องทำงานกับภาชนะที่ใช้งานได้โดยเฉพาะ เตาแบบ Ceramic เองก็มีข้อควรระวังเหมือนกับเตาไฟฟ้า hot plate นั่นคือเมื่อใช้งานเสร็จต้องระวังความร้อนที่หลงเหลืออยู่บนกระจก
  1. เตาแม่เหล็กไฟฟ้า (Induction) มีลักษณะคล้ายกับเตาแบบ Ceramic เพราะใช้กระจกหน้าเตาแบบเดียวกัน แต่จะมีความแตกต่างในส่วนของตัวทำความร้อน โดยเตาแม่เหล็กไฟฟ้านั้นจะใช้การเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กเพื่อให้เกิดพลังงานความร้อน ดังนั้นภาชนะที่จะนำมาใช้กับเตาแม่เหล็กไฟฟ้า จึงต้องมีส่วนประกอบของเหล็กหรือเป็นโลหะ ที่สามารถใช้กับการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กได้ เตาแม่เหล็กไฟฟ้ามีข้อดีคือกินไฟน้อย ไม่เปลืองพลังงานเมื่อเทียบกับเตาประเภทอื่น นำพาความร้อนได้ดีและรวดเร็วกว่า ที่สำคัญคือมีความปลอดภัยในการใช้งาน เพราะว่าความร้อนจะไม่อยู่บนเตาเป็นเวลานาน และเตาจะไม่ทำงานถ้าไม่ใช้กับภาชนะที่ไม่เหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กได้ เตาแม่เหล็กไฟฟ้ามีทั้งแบบบิ้วท์อินและแบบลอยตัว และต้องใช้กับภาชนะที่เหนี่ยวนำไฟฟ้าได้เท่านั้น

สรุปได้ว่าเตาทั้ง 3 แบบมีข้อแตกต่างกันตรงที่ 1) การใช้ไฟ โดยเตาไฟฟ้าแบบHot Plate และแบบ Ceramic จะใช้ไฟเยอะกว่าแบบ Induction 2) ความเร็วในการทำความร้อน โดยเตาไฟฟ้าแบบHot Plate และแบบ Ceramic จะใช้เวลาเยอะกว่าแบบ Induction 3) ความเร็วในการปรับระดับความร้อน โดยเตาไฟฟ้าแบบHot Plate และแบบ Ceramic จะใช้เวลาเยอะกว่าแบบ Induction 4) วัสดุของหน้าเตาไฟฟ้า โดยเตาไฟฟ้าแบบHot Plate จะเป็นสแตนเลส แต่แบบ Ceramic และแบบ Induction เป็น ceramic 5) ราคา โดยเตาไฟฟ้าแบบHot Plate จะถูกที่สุด และแบบ Induction จะแพงที่สุด

วิธีใช้งานเตาไฟฟ้า

วิธีใช้งานเตาไฟฟ้าทั้ง 3 แบบจะใช้เหมือนกัน ทำได้โดยเริ่มจากเสียบปลั๊กของเตาไฟฟ้า รอจนเตาพร้อมโดยสังเกตที่หน้าปัดจะขึ้น “- -” แสดงว่าพร้อมใช้งานได้โดยหลังจากวางภาชนะที่จะใช้ลงไปแล้วเราต้องเลือกฟังก์ชั่นหรือระดับความร้อนก่อน บางรุ่นจะขึ้นเป็นอุณหภูมิความร้อน บางรุ่นขึ้นไปกำลังไฟฟ้าที่ใช้เป็นวัตต์ บางรุ่นขึ้นเป็นระดับความแรง 1-10 แทน ซึ่งเราต้องศึกษาจากคู่มือการใช้งานที่มากับผลิตภัณฑ์ด้วย หลังจากประกอบอาหารเสร็จแล้วให้กดปุ่ม off เพื่อปิดเตาแม่เหล็กไฟฟ้า ในกรณีนี้พัดลมที่ทำความเย็นภายในเตาจะยังคงทำงานต่อไป ฉะนั้นหลังการใช้งานจึงไม่ควรจะถอดปลั๊กไฟออกทันที

การเลือกซื้อเตาไฟฟ้า

  1. การเลือกซื้อเตาไฟฟ้าแต่ละชนิดควรพิจารณาถึงมาตรฐาน ความปลอดภัย คุณภาพ ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจดูจากผู้ผลิตที่มีรางวัลการันตี หรือเลือกผู้ผลิตที่เชี่ยวชาญในอุปกรณ์เครื่องใช้นั้นๆโดยเฉพาะ เพราะถ้าเราเลือกผู้ผลิตที่มีความชำนาญหรือมีชื่อเสียงในด้านเตาไฟฟ้า ก็ช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าได้ และอย่าลืมมองหาเครื่องหมายรับรองด้านความปลอดภัยบนผลิตภัณฑ์ด้วย
  2. วัสดุที่นำมาผลิตต้องมีความแข็งแรงทนทาน ทำด้วยวัสดุที่มีคุณภาพดีทนความร้อนได้ดี
  3. เตาไฟฟ้าที่เลือกซื้อมาประกอบอาหารนั้น ควรมีระบบการป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าช็อตที่อาจจะเกิดขึ้นจากตัวทำความร้อน หรือกรณีไฟรั่วอื่นๆ
  4. บริเวณขั้วต่อสายรวมทั้งขั้วต่อของตัวทำความร้อนต้องทำด้วยวัสดุทนความร้อนโดยเฉพาะ ที่ทำให้ทนทานต่อการกัดกร่อน ละลายจากการโดนความร้อนนานๆ หรือควรผ่านกรรมวิธีป้องกันการเกิดสนิมเพื่อยืดอายุการใช้งานและเป็นการเพิ่มระดับความปลอดภัยขึ้นอีกด้วย
  5. สังเกตตัวอักษรหรือเครื่องหมายต่างๆที่ระบุกำลังไฟฟ้าที่กำหนดเป็นวัตต์ รวมถึงแรงดันไฟฟ้าที่กำหนดเป็นโวลต์ ชื่อผู้ผลิต เครื่องหมายการค้าที่จดทะเบียน และรายละเอียดอื่นๆก็ควรอ่านบนฉลากให้ครบเพื่อเป็นการทำความเข้าใจในรายละเอียดของเตาไฟฟ้านั้นๆอย่างคร่าวๆ ที่สำคัญควรอ่านคำเตือนและข้อควรระวังในการใช้งานเตาไฟฟ้าให้ดีด้วย
  6. การเลือกซื้อนอกจากจะพิจารณาจากรายการที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังรวมไปถึงการพิจารณาถึงสถานที่ประกอบอาหารของเราว่า เหมาะกับเตาไฟฟ้าแบบใด ประเภทไหน และจะติดตั้งเตาไฟฟ้าแบบใด บางคนอาจชอบแบบธรรมดา ส่วนบางคนชอบการติดตั้งแบบบิ้วท์อิน เป็นต้น สิ่งสำคัญก็คือพื้นที่ๆเราจะวางเตานั้นเอง
  7. บริการหลังกายขายเมื่อเราเลือกซื้อเตาไฟฟ้า การใช้งานย่อมอาจเกิดอุบัติเหตุทำให้เตาเสียหายชำรุดได้ เพราะฉะนั้นการเลือกตัวแทนจำหน่ายหรือร้านที่ไว้ใจได้นั้นก็มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะบริการหลังการขายที่ดี จะทำให้เราไม่ต้องเสียเงินซ่อมที่ร้านรับซ่อมทั่วไปโดยใช่เหตุ(ซึ่งอาจทำให้ของไม่กลับมามีคุณภาพดีเท่าเดิมอีกด้วย) เพราะการส่งเคลมกับทางตัวแทนจำหน่ายที่เป็นตัวกลางระหว่างเรากับศูนย์นั้นดีที่สุก จึงควรพิจารณาว่าหลังการขายมีบริการรับเคลมสินค้า หรือรับประกันสินค้าหรือไม่ รวมถึงมีการให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง เข้าใจง่ายหรือไม่

การติดตั้งเตาไฟฟ้า

การติดตั้งเตาไฟฟ้านั้นง่ายดายและไม่มีความยุ่งยากเลยแม้แต่น้อย ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกวิธีการติดตั้งแบบไหน แต่ก็ควรเลือกติดตั้งให้เหมาะกับที่พักอาศัย ลักษณะการใช้งาน หรือความชอบส่วนบุคคลของคุณให้มากที่สุด ส่วนเรื่องการติดตั้งเตาไฟฟ้านั้น ไม่ว่าจะเป็นเตาแบบใดก็สามารถติดตั้งได้สองรูปแบบคล้ายกับเตาแก๊ส คือ

  1. การติดตั้งเตาไฟฟ้าแบบตั้งโต๊ะ ทำได้สะดวก ง่าย รวดเร็ว เพียงแค่คุณวางเตาไฟฟ้าลงบนเคาน์เตอร์ที่มีพื้นที่ว่างพอเหมาะ หรือจะซื้อโต๊ะสำหรับวางเตาโดยเฉพาะก็ได้ เมื่อเลือกตำแหน่งที่คุณต้องการวางเตาได้แล้ว ก็เดินสายไฟแล้วเสียบปลั๊ก เตาไฟฟ้าของคุณก็จะพร้อมใช้งานทันที

 

  1. การติดตั้งแบบบิ้วท์อิน(Built-in) การติดตั้งแบบบิ้วท์อินนี้ก็มีความคล้ายกับการติดตั้งเตาแก๊สแบบฝังเช่นกัน คือต้องมีการวัดขนาดที่แน่นอนชัดเจน เพื่อนำไปคำนวณหาพื้นที่และเจาะช่องเคาน์เตอร์สำหรับวางตัวเตาไฟฟ้าลงไปในช่อง การวัดขนาดและการเจาะควรทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เพราะต้องมีเรื่องการเดินสายไฟเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เมื่อวัดขนาดและเจาะช่องสำหรับวางเตาได้แล้ว ก็นำเตาไฟฟ้าวางลงไปและล็อกให้เรียบร้อย ส่วนที่แตกต่างกับการติดตั้งเตาแก๊สคือไม่ต้องเปลืองพื้นที่วางถังแก๊ส เพียงแต่ต้องเดินสายไฟเพื่อทำตัวจ่ายไฟใกล้ๆบริเวณที่ติดตั้งเตา

การตัดสินใจว่าจะเลือกติดตั้งเตาไฟฟ้าแบบไหนนั้นอาจพิจารณาองค์ประกอบหลายๆอย่างประกอบ เช่น วัสดุ ความสวยงามของผิวเตา ส่วนมากเตาที่ผลิตจากวัสดุผิวเรียบ มันวาว ผู้ใช้มักจะชอบติดตั้งแบบบิ้วท์อิน(Built-in) เพราะเปรียบเสมือนเป็นเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งครัวอีกชิ้น ทำให้ห้องครัวของคุณดูสวยงาม โดดเด่น ทันสมัย ส่วนผู้ใช้งานที่ต้องการความเรียบง่าย สะดวกรวดเร็ว และต้องการเคลื่อนย้ายเตาไฟฟ้าระหว่างทำอาหาร อาจไม่ได้ประกอบอาหารบริเวณเดิมๆทุกวัน ก็เลือกใช้วิธีวางเตาแบบตั้งโต๊ะ แต่วิธีนี้ก็จะทำให้ห้องครัวของคุณไม่สวยงามเรียบร้อยเท่าแบบบิ้วท์อิน(Built-in)นั่นเอง

วิธีการดูแลรักษาเตาไฟฟ้า

  1. การดูแลรักษาเตาไฟฟ้าแบบเซรามิค

เตาไฟฟ้าแบบเซรามิค ส่วนใหญ่แล้วจะมีมีดสำหรับทำความสะอาดหน้าเตา ติดมากับเตาไฟฟ้าอยู่แล้ว โดยการทำความสะอาดนั้น หากหน้าเตาไม่สกปรกมาก ให้เช็ดทำความสะอาดด้วยน้ำยาทำความสะอาดก็พอ แต่หากหน้าเตาสกปรกมาก จะต้องใช้มีดที่ติดมากับเตา ขูดเศษอาหารและสิ่งสกปรกออกให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยเช็ดล้างด้วยน้ำยาทำความสะอาด เสร็จแล้ว ให้ใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกที เพื่อให้เตาไฟฟ้าแห้งนั่นเอง

  1. การดูแลรักษาเตาไฟฟ้าแบบเตาเพลทไฟฟ้า

เตาไฟฟ้า แบบเตาเพลทไฟฟ้า เป็นเตาที่อาจจะแตกหัก และเกิดสนิมได้ง่าย จึงต้องดูแลให้แผ่นเพลทมีความชุ่มอยู่เสมอ โดยให้คุณนำน้ำมันพืชหรือน้ำมันมะกอกก็ได้มาเช็ดให้ทั่วแผ่นเพลทจนชุ่ม จะช่วยให้แผ่นเพลทมีอายุการใช้งานมากขึ้น ไม่แตกหักง่าย และไม่เป็นสนิมง่ายอีกด้วย นอกจากนี้ คุณจะต้องระวังไม่ให้เตาเพลทไฟฟ้าถูกกระทบกระเทือนแรงๆ และห้ามนำมีดมาขูดหน้าเตาเด็ดขาด เพราะจะทำให้แผ่นเพลทและหัวเพลทเสียหายได้

  1. การทำความสะอาดเตาไฟฟ้า ที่มีคราบสกปรกติดแน่น

หากเตาไฟฟ้า มีคราบสกปรกติดแน่น จนขัดไม่ออก ให้คุณนำเบรกกิ้งโซดาเทลงไปที่หน้าเตา และใช้ผ้าเช็ดถูให้ทั่ว โดยให้ถูเป็นวงกลม เพราะจะทำให้เบรกกิ้งโซดากระจายไปทั่วหน้าเตา และยังทำให้กำจัดคราบสกปรกที่ติดแน่นให้หลุดออกได้ง่ายอีกด้วย แต่จะต้องใช้เวลาในการถูสักนิดนะคะ ซึ่งอาจจะเป็น 10-15 นาที ขึ้นอยู่กับคราบที่ติดแน่นอยู่ที่หน้าเตาไฟฟ้านั่นเอง

  1. การใช้น้ำสบู่ กำจัดคราบสกปรกของเตาไฟฟ้า

นอกจากผงเบรกกิ้งโซดาแล้ว น้ำสบู่ก็สามารถนำมาใช้กำจัดคราบสกปรกหรือคราบน้ำมันที่เตาไฟฟ้าได้เหมือนกันนะคะ โดยนำน้ำสบู่มาถูให้ทั่วหน้าเตา แล้วทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้น้ำสบู่กัดคราบสกปรกที่ฝังแน่นให้อ่อนตัวและหลุดออกง่าย จากนั้น ให้เช็ดถูด้วยน้ำสบู่อีกครั้งจนคราบหลุดออกหมด แล้วจึงนำน้ำสะอาดมาเช็ดล้างคราบสบู่ออกให้หมด เพียงแค่นี้ ก็จะสามารถกำจัดคราบสกปรกได้อย่างหมดจดแล้วล่ะค่ะ

 

สำหรับ Kitchenform ที่รับหน้าที่เป็นตัวแทนจำหน่ายเตาไฟฟ้าแบรนด์ต่างๆ เราจะคัดสรร และเลือกจำหน่ายเฉพาะเตาไฟฟ้าที่มีคุณภาพเท่านั้น ซึ่งจะมีทั้งเตาไฟฟ้าเพลทร้อน (Hot Plate), เตาไฟฟ้า (Ceramic hob) และ เตาแม่เหล็กไฟฟ้า (Induction) มีหลากหลายแบรนด์ได้แก่ ELBA, Eletrolux, EVE, FRENKE, HAFELE, Lucky Flame, MEX, Rinnai, SIEMENS, Smeg, Tecnogas และ Teka และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ให้บริการที่ดีแก่ลูกค้าต่อไป

 


KITCHENFORMศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว แบรนด์ชั้นนำคุณภาพ เตาแก๊ส เตาไฟฟ้า เตาแม่เหล็กไฟฟ้า เตาอบ ไมโครเวฟ เครื่องดูดควัน อ่างล้างจาน เครื่องทำน้ำอุ่น ฯลฯ ยินดีให้คำปรึกษาและแนะนำทุกเรื่องเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัว – คิดจะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ในห้องครัว คิดถึงเรา “คิทเช่นฟอร์ม”

โทร. 0 2410 1487 Email: kitchenform.itt@gmail.com